ข่าวแม่สอด  :  จับ 2 โจ๋สุดโหด หลอกเพื่อนรักไปฆ่าหมกป่า ก่อนชิงรถไปขาย ซื้อยาเสพ

         รายงานข่าวแจ้งถึงความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญกลางเมืองแม่สอด หลังวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา กรณีคนร้ายทุบหัวฆ่าหนุ่มจิตอาสา ล่ามแปลภาษาพม่าที่เคยช่วยงานราชการมาหลายครั้ง วัย 17 ปี ก่อนลากศพไปซ่อนอำพรางในป่าหญ้าริมถนนเฉลิมเทพ ท้ายชุมชนบ้านสองแควแม่สอด แล้วหลบหนีไป

         ล่าสุด เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (6 ม.ค.) ตำรวจสืบสวน สภ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมสายตรวจกว่า 20 นาย ได้นำตัวนายกี้ อายุ 18 ปี นายนัด อายุ 17 ปี (นามสมมติทั้งคู่) 2 คนร้ายที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพในจุดเกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ต้องปกปิดการทำแผนไว้เป็นความลับ เพื่อป้องกันถูกรุมประชาทัณฑ์

         เบื้องต้น 2 ผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง โดยล่อลวง นายฟาร์ม อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนกับ 2 ผู้ต้องหา ไปเที่ยวในร้านอาหารแห่งหนึ่งจนดึก จากนั้นออกอุบายลวงผู้ตายขับจักรยานยนต์วนใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นถนนที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และปลอดบ้านคน

จับ 2 โจ๋สุดโหด หลอกเพื่อนรักไปฆ่าหมกป่า ก่อนชิงรถไปขาย ซื้อยาเสพ

         โดยคนร้ายอ้างว่าจะขอนำรถของผู้ตายที่ซื้อมาใหม่มาลองความแรงของรถ จนผู้ตายเชื่อใจ เนื่องจากเป็นเพื่อนรักกัน จนสบโอกาสทั้ง 2 คน จึงก่อเหตุร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วยการใช้ก้อนปูนขนาดใหญ่กระหน่ำทุบไปที่ใบหน้าของผู้ตายแบบไม่ยั้งจนเสียชีวิต และลากศพไปทิ้งอำพรางในป่าหญ้า ก่อนจะชิงรถจักรยานยนต์ของผู้ตายขายข้ามชายแดนได้เงินมา 3 หมื่นบาท แบ่งเงินกันแล้วเดินทางกลับบ้านพักในเขตเทศบาลนครแม่สอด

0701602

         หลังเกิดเหตุ ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.แม่สอด ได้ออกสืบสวนและติดตามตัวคนร้ายจนสามารถติดตามจับกุม 2 คนร้ายได้คาบ้านพักในเขตอำเภอแม่สอด ก่อนนำตัวมาสอบสวนจน 2 คนร้ายรับสารภาพที่ก่อเหตุฆ่าเพื่อนเพียงเพื่อต้องการชิงรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปขาย เพื่อนำเงินมาเที่ยว และหาซื้อยามาเสพ

         ขณะที่ศาลาวัดหลวง ที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศลนายฟาร์ม ผู้ตาย บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ตลอดจนถึงบิดามารดาของผู้ตาย ต่างร้องให้เสียใจ โดยมีบรรดาญาติมาร่วมปลอบใจ ด้าน นางหน่ายริน มารดาผู้เสียชีวิต ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และเสียใจมากที่ทราบว่าคนร้ายกลายเป็นเพื่อนของลูก

0701603

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ  :  http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9600000001857