ข่าวแม่สอด  :  หนุ่มใหญ่ลองเครื่องรถ ข้ามเลนชนเก๋ง ดับ 1 สาหัส 1

ตาก – เกิดอุบัติเหตุชายวัย 46 ปี ขับรถกระบะลองเครื่องรถด้วยความเร็วสูงแหกโค้งข้ามเลนชนประสานงากับรถยนต์เก๋งของหญิงสาววัยเบญจเพส ส่งผลทำให้รถกระบะหวิดขาด 2 ท่อน คนขับเสียชีวิต ส่วนหญิงสาวติดคาภายในซากรถเก๋งอาการสาหัส

          กลางดึกคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.แม่สอด จังหวัดตาก รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์ชนประสานงากันอย่างแรงจำนวน 2 คัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเหตุเกิดบนถนนสายแม่สอด-ตาก ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 14 เขตอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หลังรับแจ้งเหตุตำรวจจึงวิทยุประสานขอหน่วยกู้ชีพจากอำเภอแม่สอด และฝ่ายปกครองอำเภอแม่สอด รีบเดินทางไปตรวจสอบ

         ที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งหักศอกมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างข้างถนน พบซากรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซุซุ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บร 6564 เพชรบูรณ์ สภาพรถตะแคงพลิกคว่ำจนเกือบขาดเป็น 2 ท่อน ชิ้นส่วนรถแตกกระจายไปทั่วบริเวณ และยังพบคราบน้ำมันรถรั่วไหลกระจายเต็มถนน ขณะที่ภายในรถพบ นายพงศ์กร อายุ 46 ปี เป็นคนขับนอนหายใจรวยรินหมดสติคาซากรถ อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สอด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

         โดยห่างออกไปอีกประมาณ 5 เมตร พบรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน กจ 2883 ตาก จอดอยู่กลางถนนสภาพรถด้านหน้าพังเสียหายยับเยิน ภายในรถพบผู้บาดเจ็บเป็นหญิงสาวเป็นคนขับรถ ถูกอัดติดคาพวงมาลัยรถ อาการสาหัส หน่วยกู้ชีพต้องรีบช่วยกันนำตัวออกมาจากรถ นำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สอด

         จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายพงศ์กร ได้เร่งรีบขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุแบบทดสอบความแรงของรถ และขับมาด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าเข้าอำเภอแม่สอด เมื่อขับมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง และมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง รถกระบะเสียการควบคุมแหกโค้งหมุนข้ามเลนไปชนประสานงากับรถยนต์เก๋งที่ขับสวนทางมาอย่างแรงแบบไม่มีเบรก เสียงดังสนั่นถนน ทำให้รถยนต์กระบะพลิกคว่ำหวิดขาด 2 ท่อน คนขับเสียชีวิต ส่วนคนขับรถเก็ง ซึ่งเป็นสาววัยเบญจเพส อาการสาหัส

         หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยอาสาสมัครกู้ภัยแม่สอด ต้องระดมกำลังหลายสิบคนมาช่วยกันขจัดคราบน้ำมันของรถทั้ง 2 คัน ที่รั่วไหลเต็มถนนจุดเกิดเหตุ และเร่งทำความสะอาดจนสามารถเปิดเส้นทาง และคืนผิวการจราจรได้ตามปกติในเวลาต่อมา

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ  :  http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9600000045462