ข่าวทั่วไป  :  เปิดตัวบริการ Fliggy Buy เป็นโอกาสให้กับผู้ขายจากต่างประเทศ

หังโจว ประเทศจีน- Fliggy แพลตฟอร์มบริการท่องเที่ยวในเครืออาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัวบริการ Fliggy Buy เป็นโอกาสให้กับผู้ขายจากต่างประเทศเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่จากผู้บริโภคชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวขาออก

         บริการดังกล่าวนำเสนอช่องทางการช้อปรูปแบบใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวจีน ให้เลือกดูและซื้อสินค้าบนแอพพลิเคชั่น Fliggy ก่อนถึงจุดหมายปลายทาง แล้วรับสินค้าที่หน้าร้านเมื่อเดินทางถึง

         Fliggy Buy ยังเป็นกลยุทธ์ “Global Fun” กระตุ้นการท่องเที่ยวต่างประเทศในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน โดยร่วมมือกับกลุ่มผู้ค้าจากอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อนำเสนอประสบการณ์การช้อปมิติใหม่แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังต่างแดน

          ผู้ขายบนช่องทาง Fliggy Buy มีแผนที่จะนำร้านค้าปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม (tax-free) ร้านค้าปลอดภาษีสรรพสามิต (duty-free) ทั้งในประเทศจีน แบรนด์ชื่อดังจากต่างประเทศ ร้านค้าเฉพาะอย่างและเพิ่มจุดหมายปลายทางของการช้อป แบรนด์ต่างประเทศที่เข้าร่วมในช่องทาง Fliggy buy ได้แก่ Furla ฮ่องกง และ Laox ประเทศญี่ปุ่น

          “Fliggy จะทำให้การดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ซับซ้อน การเปิดตัวช่องทาง Fliggy Buy สะท้อนกลยุทธ์ล่าสุดของเราในการช่วยผู้ขายที่เข้าถึงนักท่องเที่ยวจีน พัฒนาโซลูชั่นส์รูปแบบใหม่ เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้า เป้าหมายของเราคือ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ และเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมเอาอาหาร ที่พัก ระบบขนส่ง การนำเที่ยว ช้อปปิ้ง และการสันทนาการ มาไว้ด้วยกัน” นายโรมัน ชู หัวหน้าฝ่ายธุรกิจของ Fliggy Buy บริษัท Fliggy กล่าว

         ด้านนักท่องเที่ยวจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด อาทิ การรีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริงก่อนเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจวิธีการใช้แอพและสามารถเปรียบเทียบราคาระหว่างร้านค้าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

         ลูกค้าชาวจีนสามารถใช้บริการบน Fliggy Buy เลือกซื้อสินค้าหลากหลาย อาทิ เครื่องสำอาง กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากผู้ขายที่น่าเชื่อถือ หลังจากเลือกร้านค้าที่ต้องการไปรับสินค้า กรอกข้อมูลส่วนตัว และจ่ายเงินแล้ว ลูกค้าสามารถเดินทางไปรับสินค้าเมื่อใดก็ได้

         ฐานข้อมูลของ Fliggy ในช่วงตรุษจีน นักท่องเที่ยวจีนที่ใช้บริการ Fliggy ที่เดินทางไปประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (2561)

 

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ  :  https://mgronline.com/china/detail/9620000041352